ทำไมต้องซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต
• สะดวกสบาย
คุณสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง จากบ้าน จากที่ทำงาน จากอินเทอร์เน็ต คาเฟ่ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ หรือที่อื่นๆที่คุณสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ ตัดปัญหาการเดินทางฝ่ารถติดไปห้องค้า หรือต่อสายโทรศัพท์หาเจ้าหน้าที่การตลาด

• พร้อมพรั่งด้วยข้อมูลข่าวสาร
คุณสามารถค้นหาข้อมูลข่าวสารที่มีอยู่มากมายและทันสมัยตลอดเวลา ทั้งข้อมูลราคาหลักทรัพย์เรียลไทม์ รายละเอียดบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บทวิเคราะห์จากฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ข้อมูลทางสถิติ ข้อมูลปัจจุบันและย้อนหลังเพื่อช่วยในการตัดสินใจของคุณ

• คุ้มค่าด้วยค่าใช้จ่ายต่ำกว่า
ซื้อขายด้วยตัวเอง จูงใจด้วยค่าคอมมิชชั่นระดับต่ำ เพียงแค่ 0.21 % เท่านั้น

• เริ่มต้นซื้อขายด้วยเงินทุนเพียงเล็กน้อย
มีเงินมากก็ฝากเงินมาก มีเงินน้อยก็ฝากน้อย ด้วยการเลือกเปิดบัญชีแบบ Pre-paid ฝากเท่าไหร่ ซื้อขายได้เท่านั้น

ท่านที่สนใจเปิดบัญชีซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์ย่อยของเซ็ทเทรด เรื่อง การซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านอินเทอร์เน็ต (Internet Trading)

 
การซื้อขายแบบอินเตอร์เน็ต เหมาะกับใครบ้าง
ประเภทแรก นักลงทุนที่ต้องการความคล่องตัวในการตัดสินใจลงทุน เพราะสามารถส่งคำสั่งซื้อขายด้วยตนเอง พร้อมตรวจสอบสถานะคำสั่ง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยข่าว บทวิเคราะห์และเครื่องมือประกอบการตัดสินใจต่างๆ ทั้งนี้ควรเป็นคนที่เคยใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตมาบ้าง หรือคนที่คิดว่าสามารถเรีบนรู้การใช้คอมพิวเตอร์ได้

ประเภทที่สอง คือ นักลงทุนหน้าใหม่ มีเงินทุนไม่มากนัก แต่ต้องการเริ่มต้นเรียนรู้การลงทุนในหุ้น คุณสามารถเลือกเปิดบัญชีแบบ Pre-paid คือฝากเงินเพื่อซื้อขายตามกำลังความสามารถในการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับตัวเอง

ประเภทที่สุดท้าย คือ นักลงทุนที่ต้องการติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิด เพื่อสามารถตัดสินใจลงทุนซื้อขายหุ้นได้ทันท่วงที

 
บัญชีประเภทไหนบ้างที่สามารถซื้อขายอินเตอร์เน็ต ได้

การซื้อขายแบบออนไลน์ไม่ได้หมายความว่าคุณจะส่งคำสั่งซื้อขายโดยตรงกับตลาดหลักทรัพย์ได้ ก่อนอื่นคุณจะต้องเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์หรือซับโบรกเกอร์ให้ทำหน้าที่เป็นนายหน้าหรือตัวแทนของคุณในการส่งคำสั่งซื้อขายเข้ามายังระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์เสียก่อน โบรกเกอร์จะกำหนดนโยบายบริษัทว่าจะให้บริการบัญชีซื้อขายทางอินเทอร์เน็ตประเภทใดบ้าง แต่โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ประเภท

1. บัญชีเงินสด (Cash Account)  พูดง่ายๆ ก็คือบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ทั่วไปที่คุณรู้จักนั่นเอง โบรกเกอร์จะให้วงเงินซื้อขายแก่คุณ โดยคุณจะซื้อขายหุ้นได้ไม่เกินวงเงินนั้น และต้องชำระเงินค่าซื้อขายและส่งมอบหลักทรัพย์ภายในวันทำการที่ 3 ถัดจากวันที่ซื้อขาย (T+3) ถ้าคุณซื้อคุณต้องทำการชำระราคาค่าซื้อเต็มมูลค่าหุ้นที่ซื้อในเวลาที่กำหนด ไม่สามารถชำระแค่บางส่วนได้ ในวันที่ 1 ก.ค. 47 เป็นต้นไป ได้มีการกำหนดให้ผู้ที่จะซื้อขายหลักทรัพย์ต้องมีหลักประกันเริ่มต้น 10 % เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า บริษัทสมาชิก และตลาดทุนโดยรวม

2. บัญชีแคชบาลานซ์ (Cash Balance หรือ Pre-paid หรือ Cash Deposit) เป็นบัญชีที่คุณต้องฝากเงินไว้กับโบรกเกอร์จำนวนหนึ่งก่อน สำหรับเป็นเงินชำระค่าหุ้นที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และถือว่าเงินจำนวนนั้นเป็นอำนาจซื้อของคุณเอง เมื่อถึงวันชำระค่าหุ้น (T+3) โบรกเกอร์ก็จะหักเงินออกไปจากส่วนที่ฝากนี้ชำระเป็นค่าหุ้นไปอัตโนมัติ ถ้าคุณต้องการซื้อหุ้น แต่วงเงินไม่พอ ก็สามารถโอนเงินเพิ่ม เพื่อให้อำนาจซื้อเพิ่มขึ้นได้ บางโบรกเกอร์ก็จะให้ดอกเบี้ยเงินฝากด้วย
ซื้อขายแบบดั้งเดิม
• ลูกค้าส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์และตรวจสอบสถานะซื้อขายได้ด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ของโบรกเกอร์

• ต้องระบุราคาเสนอซื้อขายที่แน่นอน (Limit order) เท่านั้น ไม่สามารถระบุเงื่อนไขการเสนอซื้อขายได้

• ซื้อขายได้เฉพาะบนกระดานหลัก กระดานหน่วยย่อย และกระดานต่างประเทศ ด้วยวิธีจับคู่คำสั่งซื้อขายเข้าด้วยกันโดยอัตโนมัติ (Automated Order Matching: AOM)

• ค่าธรรมเนียมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 0.20 ของมูลค่าการซื้อขาย
 
ต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการเปิดบัญชีอินเตอร์เน็ต
เพื่อเป็นการขยายโอกาสให้นักลงทุนที่มีทุนน้อยสามารถเริ่มลงทุนซื้อขายหุ้นทางอินเทอร์เน็ตได้ตามกำลังซื้อของตน โบรกเกอร์มักแนะนำให้ลูกค้าเปิดบัญชีฝากเงินแบบที่เรียกว่า Pre-paid คือบัญชีที่คุณจะต้องโอนเงินเข้ามาในบัญชีซื้อขายก่อน แล้วจึงสามารถซื้อขายได้ภายในวงเงินที่โอนเข้ามานั้น หากต้องการซื้อหุ้นเพิ่ม ก็เพียงแค่โอนเงินเข้ามาเพิ่ม อำนาจการซื้อของคุณก็จะเพิ่มขึ้น สะดวกสำหรับนักลงทุนเพราะไม่ต้องฝากเงินไว้กับโบรกเกอร์นานๆ โดยที่ยังไม่ได้ทำการซื้อขาย
 
ขั้นตอนในการเปิดบัญชีอินเทอร์เน็ต

ไม่ว่าคุณจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล หากคุณสนใจสินค้าและบริการของ บริษัทเซ็ทเทรด ดอท คอม (จำกัด) โดยเฉพาะด้านระบบคอมพิวเตอร ์ที่ส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นผ่านอินเทอร์เน็ต คุณสามารถเปิดบัญชีได้ง่าย ๆ ตามขั้นตอนที่โบรกเกอร์กำหนด (เซ็ทเทรด ให้บริการเฉพาะระบบคอมพิวเตอร์ หากคุณสนใจเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ทางอินเทอร์เน็ต จะต้องทำการติดต่อกับโบรกเกอร์เท่านั้น) นอกจากนั้น คุณสามารถปรึกษาเจ้าหน้าที่การตลาดของโบรกเกอร์ เกี่ยวกับการเปิดบัญชีได้ตลอดเวลา และก่อนที่คุณจะลงนามเอกสารใด ๆ คุณควรจะอ่านรายละเอียดเงื่อนไขในเอกสารต่างๆ ของโบรกเกอร์ให้รอบคอบ (เอกสารที่ใช้สำหรับแต่ละโบรกเกอร์ อาจแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย) โดยทั่วไปแล้ว ก็จะมีขั้นตอนที่คุณจะต้องกระทำ ดังนี้


1) ติดต่อขอเอกสารการเปิดบัญชี สัญญาและเอกสารแนบต่าง ๆ ที่ใช้ในการเปิดบัญชี โดยคุณสามารถดาวน์โหลดทางอินเทอร์เน็ตหรือติดต่อได้ที่สำนักงานของโบรกเกอร์ที่คุณเลือกก็ได้

2) กรอกรายละเอียดใบคำขอเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ให้ครบถ้วนพร้อมเซ็นชื่อ และแนบเอกสารประกอบการเปิดบัญชี ส่งให้กับโบรกเกอร์

3) รอผลการพิจารณาจากโบรกเกอร์ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์

4) เมื่อได้รับการอนุมัติให้เปิดบัญชีแล้ว คุณจะได้รับแจ้งเลขที่บัญชี หรือรหัสประจำตัวลูกค้าซึ่งจะใช้ในการส่งคำสั่งซื้อขาย เปลี่ยนแปลง ยกเลิก รวมทั้งการชำระเงิน หรือในการติดต่อใด ๆ กับโบรกเกอร์ รหัสนี้คุณต้องเก็บเป็นความลับ เพราะมิฉะนั้นแล้วอาจมีผู้แอบอ้างทำให้เกิดความเสียหายได้

หลังจากที่คุณได้รับอนุมัติเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์แบบออนไลน์ เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ตลอดเวลาด้วยตัวเอง เพิ่มความสะดวกและคล่องตัวในการลงทุน

 
ส่งคำสั่งซื้อขายได้ในช่วงเวลาใด
เพราะการซื้อขายทางอินเทอร์เน็ต ไม่ได้มีข้อจำกัดในเรื่องเวลาส่งคำสั่ง คุณจึงสามารถส่งคำสั่งได้ตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง แม้แต่ตอนตลาดหลักทรัพย์ปิดทำการ หรือในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์

หากคุณส่งคำสั่งในช่วงที่ตลาดหลักทรัพย์เปิดทำการ คำสั่งของคุณก็จะส่งตรงสู่ตลาดหลักทรัพย์ คุณสามารถตรวจสอบสถานะคำสั่งได้ทันทีจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ สำหรับคำสั่งซื้อขายที่ส่งเข้ามาในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้เปิดทำการ คำสั่งของคุณก็จะถูกจัดเรียงตามลำดับเวลาที่คุณส่งคำสั่งเข้ามา และจะถูกส่งไปยังตลาดหลักทรัพย์ทันทีที่ตลาดเปิดทำการ

 
มีข้อมูลอินเตอร์เน็ตอะไรช่วยการตัดสินใจ

เว็บไซต์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการซื้อขายหุ้นออนไลน์นั้น ไม่ได้พัฒนาขึ้นเพื่อให้บริการรับส่งคำสั่งซื้อขายเท่านั้น แต่ยังเพียบพร้อมด้วยข้อมูลข่าวสารประกอบการตัดสินใจลงทุนของคุณ ปัจจุบันข้อมูลที่ให้บริการบนเว็บไซต์ส่วนใหญ่ประกอบด้วย

• ข้อมูลหุ้นเรียลไทม์ (Real-time trading information) ได้แก่ ราคาเสนอซื้อ-เสนอขายหลักทรัพย์ ดัชนีราคาหลักทรัพย์ ปริมาณและมูลค่าการซื้อขาย ภาพรวมการซื้อขาย สรุปอันดับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายมากที่สุด ราคาเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลง เป็นต้น ส่วนใหญ่จะสามารถเรียกดูข้อมูลย้อนหลังได้

• ข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน (Listed Companies Info) เช่นรายชื่อคณะกรรมการบริษัท ลักษณะหรือประเภทธุรกิจ งบการเงินประจำงวดต่างๆ รวมทั้งข่าวสารความเคลื่อนไหวอื่นๆของแต่ละบริษัท โดยสามารถเรียกดูข้อมูลย้อนหลังได้

• รายงานและบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ ส่วนใหญ่จะเป็นบทวิเคราะห์ที่จัดทำโดยนักวิเคราะห์ของแต่ละโบรกเกอร์ อาจแยกเป็นวิเคราะห์ข่าวประจำวัน รายงานหุ้นเด่นวันนี้ บทวิเคราะห์รายอุตสาหกรรม รายหลักทรัพย์ วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และการวิเคราะห์ทางเทคนิค

• ความเคลื่อนไหวของดัชนี และข่าวสารของตลาดหุ้นต่างประเทศที่สำคัญ

นอกจากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น โบรกเกอร์มักมีรูปแบบในการนำเสนอบริการเสริมอื่นๆ เพื่อให้ลูกค้ามีข้อมูลพร้อมประกอบการตัดสินใจ เช่น เครื่องมือในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ระบบเตือนอัตโนมัติทางโทรศัพท์มือถือ ระบบโอนเงินทางอินเทอร์เน็ต เป็นต้น

 
รวมลิงค์เปิดบัญชีอินเตอร์เน็ต กับโบรกเกอร์
เรารวบรวมลิงค์ข้อมูลการเปิดบัญชีออนไลน์ของโบรกเกอร์ที่มีการเผยแพร่ในเว็บไซต์ของบริษัทเท่านั้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการเปิดบัญชีของคุณ หากคุณต้องการติดต่อสอบถามโบรกเกอร์อื่น ค้นหาข้อมูลสำหรับติดต่อบริษัทได้ที่นี่

 
เอกสารที่ต้องใช้ในการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์
 
บุคคลธรรมดา
นั้นมาจากคำว่า Public Offering เป็นการเสนอขายหุ้นที่มีอยู่แล้วใน ตลท.เพื่อระดมทุนเพิ่มเติม แต่ถ้าเป็น IPO จะเป็นการขายหุ้นใหม่ ที่ไม่เคยมีการเสนอขายมา
R  แบบฟอร์มคำขอเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์
R  สัญญาแต่งตั้งตัวแทนนายหน้าเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ พร้อมค่าอากรแสตมป์ 30 บาท
R  สัญญาดูแลและรักษาทรัพย์สินของลูกค้า (ถ้ามี)
R  บัตรตัวอย่างลายมือชื่อ
R  สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน บัตรข้าราชการ หรือหนังสือเดินทาง
R  สำเนาทะเบียนบ้าน
R  สำเนาบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร
R  สำเนาใบแจ้งรายการบัญชีธนาคารหรือสำเนาสมุดเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือน
R  เอกสารแสดงเงินเดือน
R  แบบคำขอใช้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (เฉพาะกรณีเลือกซื้อขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ต)
R  แบบคำขอใช้บริการจ่ายชำระระบบอัตโนมัติ/แบบคำขอให้หักบัญชีเงินฝาก/แบบคำขอใช้บริการโอนเงินผ่านระบบ Tele-Banking  (กรณีให้บริษัทหักค่าซื้อจากบัญชี และ/หรือนำเงินค่าขายเข้าบัญชี)
นิติบุคคล
R   แบบฟอร์มคำขอเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์
R   สัญญาแต่งตั้งตัวแทนนายหน้าเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ พร้อมค่าอากรแสตมป์ 30 บาท
R   สัญญาดูแลและรักษาทรัพย์สินของลูกค้า (ถ้ามี)
R   หนังสือมอบอำนาจ (เซ็นโดยกรรมการผู้มีอำนาจ) พร้อมค่าอากรแสตมป์ ฉบับละ 30 บาท
R   หนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท
R   สำเนาหนังสือบริคณห์สนธิ วัตถุประสงค์ ทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้น
R   สำเนาบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร
R   งบการเงินย้อนหลัง 3 ปี
R   บัตรตัวอย่างลายมือชื่อของกรรมการผู้มีอำนาจ
R   สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจ
R   สำเนาทะเบียนบ้านของกรรมการผู้มีอำนาจ
R   แบบคำขอใช้บริการจ่ายชำระระบบอัตโนมัติ /แบบคำขอให้หักบัญชีเงินฝาก / แบบคำขอใช้บริการโอนเงินผ่านระบบ Tele-Banking  (กรณีที่ต้องการให้บริษัทหักค่าซื้อจากบัญชี และ/หรือนำเงินค่าขายเข้าบัญชี)
กรณีมอบอำนาจให้บุคคลอื่นกระทำการแทน
R  หนังสือมอบอำนาจ พร้อมค่าอากรแสตมป์ ฉบับละ 30 บาท
R  บัตรตัวอย่างลายมือชื่อของผู้รับมอบอำนาจ
R  สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ
R  สำเนาทะเบียนบ้านของผู้รับมอบอำนาจ
 
เทคนิคการเล่นหุ้นผ่านอินเทอร์เนตให้ปลอดภัย
 

เป็นที่ทราบกันดีว่าความปลอดภัยในการทำธุรกรรมต่างๆ บนอินเทอร์เนตเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้หลายคนลังเล หรือไม่กล้าเข้ามาทำธุรกรรมรูปแบบนี้ การซื้อขายหุ้นผ่านอินเทอร์เนตก็เช่นเดียวกัน ซึ่งอันที่จริงแล้วเราสามารถคลาย ความกังวลดังกล่าวลงได้ถ้าได้รู้ว่าโบรกเกอร์มีระบบรักษาความปลอดภัยอะไร และผู้ลงทุนเอง จะมีวิธีป้องกัน และตรวจสอบในเรื่องนี้อย่างง่ายๆ ได้อย่างไรบ้าง ดังนี้

1)
การตรวจสอบโบรกเกอร์ว่ามีระบบตรวจสอบผู้ใช้งานก่อนเข้าระบบและก่อนส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นหรือไม่
 

ในการสั่งซื้อขายหุ้นแต่ละวิธี โบรกเกอร์จะต้องมีการตรวจสอบก่อนว่าคำสั่งซื้อขายหุ้นนั้นมาจากเจ้าของบัญชีที่แท้จริงหรือไม่ เช่น ดูจากลายเซ็น ฟังเสียง หรือดูหน้าตา ซึ่งการซื้อขายหุ้นผ่านอินเทอร์เนตก็เช่นเดียวกัน โดยเครื่องมือหลักอันหนึ่งที่ทุกโบรกเกอร์ใช้ ในการตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้งานก่อนเข้าระบบ คือ การให้ป้อนชื่อผู้ใช้งาน (user name หรือ user id) และรหัสผ่านก่อนเข้าระบบ โดยชื่อผู้ใช้งานเป็นตัวที่บอกกับระบบว่า ท่านคือใคร และรหัสผ่านจะเป็นตัวยืนยันว่า ท่านคือคนที่อ้างนั้นจริง ซึ่งหลังจาก ผู้ใช้งานเข้าระบบแล้ว หากจะทำการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น ทุกโบรกเกอร์ก็มักจะให้ลูกค้าป้อนรหัสผ่านอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าคนที่ป้อนคำสั่งดังกล่าว เป็นลูกค้ารายที่ถูกต้อง

ดังนั้น รหัสผ่านจึงเป็นปราการด่านแรกที่ช่วยทำให้การซื้อขายหุ้นผ่านอินเทอร์เนตมีความปลอดภัยมากขึ้น และเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก ที่ผู้ลงทุนควรเรียนรู้ วิธีการใช้รหัสผ่านที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ไม่หวังดีเดารหัสผ่าน แล้วแอบอ้างว่าเป็นตัวท่านเข้าไปในระบบเพื่อดูหรือแก้ไขข้อมูลสำคัญของท่าน หรือแอบส่งคำสั่งซื้อขาย จนทำให้ท่านได้รับความเสียหายได้

 

เทคนิคง่ายๆ ในการใช้รหัสผ่านอย่างถูกต้อง มีดังนี้

1)
ควรเปลี่ยนรหัสผ่านทันทีที่ได้รับจากโบรกเกอร์ เนื่องจากในช่วงก่อนที่รหัสผ่านจะถึงมือท่าน อาจมีผู้อื่นรู้รหัสผ่านและลักลอบเข้ามาในระบบได้
2)
ควรเปลี่ยนรหัสผ่านอย่างสม่ำเสมอ เช่น ทุกระยะ 3 เดือน เพื่อลดโอกาสที่คนอื่นอาจรู้รหัสผ่านแล้วเข้ามาในระบบของท่าน
3)
รหัสผ่านต้องยากในการเดา โดยมีเทคนิค ดังนี้
- ควรมีความยาวอย่างน้อย 6 ตัวอักษร
- ควรเลือกรหัสผ่านที่มีตัวเลข ตัวอักษร หรือตัวอักขระพิเศษผสมกัน
- ไม่ควรใช้รหัสผ่านตัวเดียวกับ username หรือใช้ชื่อ นามสกุลของตัวท่านเพราะอาจทำให้ผู้อื่นเดาได้ง่าย
4)
ไม่ควรบอกรหัสผ่านให้ผู้อื่นทราบ เพราะอาจมีผู้ไม่หวังดีแอบอ้างเป็นตัวท่านเข้ามาในระบบได้
5)
ไม่ควรกำหนดให้เครื่องคอมพิวเตอร์จำรหัสผ่านไว้ เพราะหากคนอื่นมาใช้เครื่องคอมพิวเตอร์นั้น ก็จะสามารถเข้าไปในระบบของท่านได้ อย่างง่ายดาย
6)
หากพบข้อสังเกตใดผิดปกติ หรือสงสัยว่ามีคนอื่นแอบเข้าระบบ เช่น ถ้าข้อมูลการเข้าระบบครั้งสุดท้าย (last login) ไม่ตรงกับวันเวลา ที่ท่านเข้าระบบครั้งล่าสุด เป็นต้น ให้ท่านรีบเปลี่ยนรหัสผ่านทันทีเพื่อป้องกันมิให้ บุคคลนั้นเข้ามาในระบบอีก และแจ้งเจ้าหน้าที่โบรกเกอร์ ให้ทำการตรวจสอบ
7)
log out ทันที ที่ท่านลุกออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นแอบเข้ามาดูหรือ แก้ไขข้อมูล ที่คุณอาจเปิดค้างที่หน้าจอนั้น

2)
ตรวจสอบโบรกเกอร์ว่ามีการป้องกันข้อมูลสำคัญที่ส่งผ่านเครือข่ายหรือไม่
 

ในการส่งข้อมูลสำคัญผ่านเครือข่าย เช่น ข้อมูลรหัสผ่าน ข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น เป็นต้น โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะมีการใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Secure Socket Layer (SSL) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยในการรับส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เนตที่ได้มาตรฐาน โดย SSL จะมีเครื่องมือที่ใช้ในการเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งผ่านอินเทอร์เนต เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นลักลอบดูข้อมูล และเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจสอบว่าข้อมูลที่ส่งมาถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงระหว่างทางหรือไม่ด้วย ดังนั้น หากเว็บไซต์ใดใช้ SSL ก็จะทำให้เรามั่นใจมากขึ้นว่าข้อมูลที่เราส่งผ่านระบบนั้นจะมีความปลอดภัย ซึ่งท่านก็สามารถใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจเลือกใช้บริการจากโบรกเกอร์ได้ โดยวิธีการดูง่ายๆ ว่าเว็บไซต์ไหนใช้เทคโนโลยี SSL มีดังนี้

1)
ที่บริเวณชื่อที่อยู่ของเว็บไซต์ (URL) ต้องมีคำว่า “ https:// ” ดังรูป


2)่

ที่ Task bar ซึ่งอยู่บริเวณมุมขวาล่างของหน้าจอต้องมีรูปแม่กุญแจปรากฏอยู่

 

โดยเมื่อคลิกที่รูปแม่กุญแจจะปรากฏหน้าจอแสดงข้อมูลใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (certificate information) ซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับการรับรองตัวตนของเครื่องคอมพิวเตอร์ ์ที่ลูกค้ากำลังติดต่ออยู่ เช่น ชื่อผู้ออกใบรับรองซึ่งต้องเป็นหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ (ตัวอย่างคือ verisign.com) ชื่อเว็บไซต์ ที่ได้รับการรับรอง ซึ่งต้องเป็นชื่อเว็บไซต์เดียวกัน กับที่ท่านกำลังติดต่ออยู่ และช่วงเวลาที่ใบรับรองมีผลบังคับซึ่งต้องครอบคลุมช่วงเวลาที่ท่านกำลังเข้าเว็บไซต์นั้นอยู่ เป็นต้น ดังภาพ

 

3)
การตรวจสอบว่าเว็บไซต์ที่เรากำลังติดต่ออยู่เป็นเว็บไซต์จริงของโบรกเกอร์หรือไม่
 

เนื่องจากการทำธุรกรรมผ่านอินเทอร์เนตในต่างประเทศเคยพบกรณีผู้ประสงค์ร้ายปลอมแปลง เว็บไซต์โดยทำหน้าตาและชื่อเว็บไซต์คล้ายคลึงกับเว็บไซต์จริง ซึ่งแม้ว่าเหตุการณ์แบบนี้อาจยังไม่ปรากฏ แน่ชัดว่าเคยเกิดขึ้นในเมืองไทย แต่หากเกิดขึ้นและมีลูกค้ารายใดหลงเข้าไป log in ที่เว็บไซต์ปลอม

ดังกล่าวก็อาจถูกผู้ประสงค์ร้ายลักลอบดูและสำเนาข้อมูลสำคัญต่างๆ เช่น username รหัสผ่าน เลขที่บัตรเครดิต เป็นต้น และนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ต่อได้ ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาท ผู้ลงทุนก็ควรเรียนรู้วิธีป้องกันและตรวจสอบเรื่องดังกล่าวในเบื้องต้นซึ่งมีวิธีการง่ายๆ ดังนี้

  • ก่อนจะ log in เพื่อเข้าระบบทุกครั้ง ลูกค้าควรตรวจสอบว่าชื่อเว็บไซต์ของโบรกเกอร์ ถูกต้องหรือไม่ เช่น ปกติชื่อเว็บไซต์ของโบรกเกอร์ XYZ เป็น www.xyz.co.th แต่ถ้าปรากฏว่า ชื่อเปลี่ยนไปเป็น www.xyz.com ให้รีบตรวจสอบข้อมูลกับโบรกเกอร์ทันทีเพราะนั่นอาจเป็น สัญญาณเตือนว่าเป็นเว็บไซต์ปลอม
  • หากลูกค้าได้รับจดหมาย หรือ e-mail แจ้งการเปลี่ยนแปลงชื่อเว็บไซต์ รวมถึงพบ ข้อมูลหรือบริการใดที่มีข้อความเกินจริงหรือมีลักษณะผิดปกติ อย่าเพิ่งหลงเชื่อ ให้ติดต่อสอบถาม โบรกเกอร์เพื่อยืนยันความถูกต้องก่อน
  • ลูกค้าควรจดจำลักษณะสำคัญของเว็บไซต์ที่ตนเองเข้าไปทำธุรกรรมอยู่เป็นประจำ หากมีการเปลี่ยนแปลงใดที่มีนัยสำคัญเกิดขึ้นก็ควรติดต่อสอบถามกับโบรกเกอร์ก่อน
  • ในกรณีที่เว็บไซต์ใดใช้ SSL หากลูกค้าพบเครื่องหมายตกใจ ในหน้าจอเตือนเกี่ยวกับระบบรักษาความปลอดภัย (ดูตัวอย่าง) ให้กดปุ่ม “No” และติดต่อสอบถามข้อมูลกับโบรกเกอร์ เพราะ นั่นหมายถึงว่า SSL ได้ตรวจพบข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ใบรับรองนั้น อาจไม่ได้มาจากหน่วยงานรับรองที่เชื่อถือได้หรือหมดอายุแล้ว หรือชื่อเว็บไซต์ที่ลูกค้ากำลังติดต่ออยู่ อาจไม่ตรงกับที่ระบุในใบรับรอง เป็นต้น
 



 
ข้อเตือนใจ ผู้ลงทุนต้องตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลต่างๆ เช่น ข้อมูลรายการซื้อขายหลักทรัพย์ (portfolio) ข้อมูลวงเงินคงเหลือ เป็นต้นควบคู่กับการใช้เทคนิคต่างๆ ที่ได้กล่าวไปข้างต้น และหากพบข้อมูลใดที่ผิดสังเกต ก็ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ของโบรกเกอร์ เพื่อตรวจสอบทันที เพราะนั่นเป็นสัญญานเตือนว่าอาจมีผู้ไม่หวังดีแอบเข้ามาในระบบ และทำการแก้ไขหรือส่งคำสั่งซื้อขายแทนท่านได้

ผู้สนับสนุนข้อมูล: สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

แก้ไขครั้งล่าสุด: วันที่ 17 กันยายน 2547